Insight

KWI Outlook 2H2023

11 July 2023

มุมมองการลงทุนครึ่งปีหลัง 2566 และกองทุนแนะนำ 

ข้อมูล ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2566

5 ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองในครึ่งปีหลัง 2566

1. อัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูงยาวนานต่อเนื่อง (Sticky Inflation) โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่ไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน (Core Inflation) ซึ่งมีแนวโน้มจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เทียบกับเงินเฟ้อทั่วไป ที่รวมหมวดอาหารและพลังงาน (Headline Inflation) ที่ทยอยปรับลดลงมาต่อเนื่อง

มุมมอง KWIAM: คาดว่าเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) มีโอกาสจะทรงตัวในระดับสูงต่อไป (ยังไม่ปรับลดลง) แต่ด้วยฐานของปี (Base effect) จะทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อ อาจดูลดลง หรือขยายตัวในระดับต่ำเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) อย่างไรก็ดี ภาวะเอลนินโญ (El Nino) ที่เกิดขึ้น อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (รวมหมวดอาหารและพลังงาน) อาจดีดตัวขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้เช่นกัน นอกจากนี้ การย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งอันเกิดจากกระแส Decoupling อาจกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานจากต้นทุนการผลิตที่อาจสูงขึ้นด้วย

Global inflation rate form 2000 to 2022, with forecasts until 2028
(percent change from previous year)
graph1

ที่มา: Statista 2023

2. ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (Geopolitical Risks) ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงจากกระแสโลภาภิวัฒน์ (Globalization) มาสู่กระแสการแบ่งขั้ว (Decoupling) ซึ่งจะนำไปสู่การย้ายฐานการผลิตกลับไปประเทศต้นทาง (Reshoring) การลดการพึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ (De-dollarization) เพื่อผลักดันให้มีการใช้เงินสกุลอื่นมาทดแทนดอลลาร์สหรัฐฯ (Multi Polar Currency)

มุมมอง KWIAM: มองว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่ในระดับปานกลาง และสามารถควบคุมได้ เนื่องจากทั้งสองขั้วมหาอำนาจ คือ จีน และสหรัฐอเมริกา ยังไม่พร้อมที่จะเพิ่มความขัดแย้งด้านอื่นๆ เพิ่มเติมจากปัจจุบัน แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นน่าจะเป็นการแสวงหาพันธมิตรเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นทั้งโอกาส และความท้าทาย แก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอาเซียน และประเทศไทย ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่อาจมีความขัดแย้งมากขึ้น ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดัคเตอร์ และกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า

graph1
graph1

ที่มา: Blackrock Investment Institute / Deloitte Insights

3. การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลาง (Central Banks’ Monetary Policy) โดยเฉพาะการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หลังจากก่อนหน้านี้ตลาดคาดว่า Fed จะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ แต่ความเป็นจริงกลับเป็นการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง

มุมมอง KWIAM: มองว่า Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง สู่ระดับ 5.75 – 6.00% ณ สิ้นปี 2566 และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เพื่อรอดูตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่จะประกาศออกมา และจะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อเห็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณถดถอย (Data dependent)
 

graph1

ที่มา: Bloomberg as of 5 July 2023

graph1

ที่มา: CME FedWatch Tool

4. การขยายตัวของเศรษฐกิจจีน (Chinese Economic Expansion) โดยเฉพาะภายหลังจากการผ่อนคลายการควบคุมโรคโควิด-19 เศรษฐกิจจีนยังไม่ได้กลับมาขยายตัวได้ตามที่หลายฝ่ายคาดหวังไว้ โดยปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ และความเชื่อมั่นของภาคเอกชนยังคงเป็นปัจจัยกดดันอยู่

มุมมอง KWIAM: เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมาก ทั้งนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังก็ตาม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจจีนภายหลังวิกฤตโรคโควิด-19 มีความท้ายทายมากขึ้น และกระแสความขัดแย้งทางการค้าและเศรษฐกิจกับสหรัฐอเมริกาก็มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความเชื่อมั่นของภาคเอกชน และภาคประชาชนอ่อนแอลง

graph1

ที่มา: IMF

5. ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Economic Recession) แม้ว่าครึ่งปีแรกของปีนี้ จะยังไม่เห็นสัญญาณเศรษฐกิจถดถอยในกลุ่มประเทศชั้นนำทางเศรษฐกิจ แต่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจถดถอยยังคงมีอยู่ โดยนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักได้ปรับเลื่อนการคาดการณ์เศรษฐกิจถดถอยที่คาดว่าจะเกิดปีนี้ ไปยังปีหน้า

มุมมอง KWIAM: มองว่าเศรษฐกิจในภาพรวมช่วงไตรมาสที่ 3/66 จะยังคงเติบโตได้ใกล้เคียงกับที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ แต่ตัวเลขเศรษฐกิจชี้นำสำคัญๆ เช่น PMI, ISM, Consumer Confidence มีแนวโน้มจะอ่อนแอลงสู่ระดับที่เริ่มน่ากังวลในไตรมาสที่ 4/66 หลังจากเริ่มส่งสัญญาณแรงส่ง (Momentum) ที่น้อยลงเรื่อยๆ ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จะยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่มีความเสี่ยงมากขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของปีหน้า (2567)

J.P.Morgan Global Manufacturing PMITM
graph1

ที่มา: J.P Morgan, S&P Global


การลงทุนแนะนำ
1. แนะนำลงทุนตราสารหนี้ระยะยาว มากกว่าการถือเงินสด หรือตราสารหนี้ระยะสั้น (Long-term over Short-term)

เนื่องจากดอกเบี้ยตลาด มีแนวโน้มถึงจุดสูงสุด (Peak) ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ก่อนที่จะมีความเสี่ยงที่อาจลดลงในปีหน้า จากความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่มากขึ้นจนทำให้ธนาคารกลางต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง จึงแนะนำให้ลงทุนตราสารหนี้ระยะยาวเพื่อรับอัตราดอกเบี้ยระดับสูง (Lock up return) และเพิ่มโอกาสในการได้กำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคา (Capital gains)

2. แนะนำลงทุนตราสารหนี้ภาครัฐ มากกว่าตราสารหนี้เอกชน (Government over Corporate)

เนื่องจาก 1. ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น (Interest Rate Upcycle) ที่ยาวนานต่อเนื่อง 2. การเปลี่ยนแปลง Supply Chain Relocation หลังโควิด-19 และเป็นไปตามกระแส Decoupling และ 3. การฟื้นตัวของการบริโภคที่เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังอุปสงค์ส่วนเกิน (Pent-up Demand) หมดไป ทำให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทต่างๆ ต้องเผชิญความท้าทายทั้งในด้านยอดขาย การจัดการการผลิต และต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ย) ที่สูงมากขึ้น ทำให้ความเสี่ยงด้านเครดิตของบริษัทเอกชนเพิ่มขึ้นสูง

3. แนะนำลงทุนตราสารหนี้ มากกว่าหุ้น (Bond over Equity)

เนื่องจากคาดว่าผลตอบแทนของตราสารหนี้จะเข้าสู่จุดสูงสุด (Peak Spot) ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยเฉพาะก่อนหน้าที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่จะ Lock ผลตอบแทนในการลงทุนตราสารหนี้ ขณะที่หุ้นเองยังคงมีปัจจัยความเสี่ยงจากเศรษฐกิจถดถอย รวมถึง Valuation โดยภาพรวมก็ยังไม่น่าสนใจมากนัก

4. แนะนำลงทุนหุ้นประเทศกำลังพัฒนา มากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว (Emerging over Developed)

เนื่องจากระดับมูลค่าที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐาน (Valuation) ของตลาดหุ้นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ค่อนข้างแพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และแพงกว่ากลุ่มประเทศ Emerging Markets ต่างๆ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะถูกเก็งกำไรด้านราคา (Market Speculation) ค่อนข้างมาก เนื่องจากผลตอบแทนในช่วงครึ่งปีแรก มาจากผลตอบแทนที่กระจุกตัวในหุ้นบางตัวเท่านั้น (Magnificent 7 stocks: Meta, Apple, Amazon, Alphabet, Microsoft, Nvidia, Tesla) โดยแนะนำตลาดหุ้นอินเดีย (India Equity) เป็น Top Pick ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้

5. แนะนำให้สะสมทองคำ (Gold) เพื่อกระจายความเสี่ยง และป้องกันความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์

เนื่องจากหากพิจารณาข้อมูลในอดีต จะพบว่าทองคำให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีในภาวะที่มีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ หรือเกิดภาวะสงคราม นอกจากนี้ กระแส De-dollarization ทำให้หลายประเทศหันมาสะสมทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น


กองทุนแนะนำ
1. กองทุนเปิด เคดับบลิวไอ สมาร์ท เอเนอร์จี้ อิควิตี้ เอฟไอเอฟ ชนิดสะสมมูลค่า และชนิดเพื่อการออม (SSF) ชื่อย่อ KWI SENERGY-A และ KWI SENERGY-SSF
  • คาดว่าเม็ดเงินลงทุนเพื่อการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 หลังภาวะเศรษฐกิจโลก ตลาดการเงิน และตลาดทุน เข้าสู่ภาวะปกติหลังวิกฤตโควิด-19 สิ้นสุดลง
  • การแก้ไขปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ (US Debt Ceiling) ที่ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทำให้เม็ดเงินลงทุนในกลุ่มพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ไม่ได้ถูกปรับลดลงแต่อย่างใด ตามที่ได้มีความกังวลก่อนหน้านี้
  • จากข้อมูลสิ้นสุด ณ วันที่ 7 ก.ค. 66 กองทุน KWI SENERGY-A และ KWI SENERGY-SSF ให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปี (YTD) อันดับ 1 ในกลุ่ม Alternative Energy Equity จัดโดย Morningstar Thailand ที่ +14.51% และ +14.47% ตามลำดับ (อันดับที่ 2 ให้ผลตอบแทน +8.11%)
2. กองทุนเปิด เคดับบลิวไอ อินเดีย อิควิตี้ เอฟไอเอฟ ชนิดสะสมมูลค่า และชนิดจ่ายเงินปันผล ชื่อย่อ KWI INDIA-A และ KWI INDIA-D
  • คาดว่าเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (Foreign Investment Inflows: FIIs) จะยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ หลังจากเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นอินเดียปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (All time high) โดยช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นอินเดียต่อเนื่อง จนเดือนเมษายนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ และซื้อต่อเนื่องสามเดือนติดต่อกัน และสูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น Emerging Markets หลายประเทศ ในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา
  • สาเหตุที่ตลาดหุ้นอินเดียได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจาก

1.    การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง โดย IMF คาดว่า GDP ของอินเดียจะขยายตัวได้ 5.9% และ 6.3% ในปี 2566 – 2567 หลังจากที่ขยายตัว 6.8% ในปีที่ผ่านมา สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และกลุ่ม EM

2.    ได้ประโยชน์จาก Decoupling และ De-dollarization เนื่องจากอินเดียค่อนข้างมีความสัมพันธ์อันดีกับทั้งสหรัฐฯ และจีน ขณะที่ธุรกิจพยายามมองหาการลงทุน และการย้ายฐานการผลิต ไปยังประเทศที่เป็นกลางทางการเมือง และไม่มีความขัดแย้งโดยตรงกับทั้งสหรัฐฯ และจีน

3.    ได้ประโยชน์จากการซื้อน้ำมันราคาถูกจากรัสเซีย จากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ชาติตะวันตกยกเลิกการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากรัสเซีย แต่อินเดียยังคงสามารถนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียในราคาถูก

4.    สหประชาชาติ (UN) คาดว่าจำนวนประชากรอินเดียจะแซงหน้าจีนในปีนี้ ด้วยจำนวนประชากรคาดการณ์ที่ 1,429 ล้านคน ขณะที่ UN คาดว่าประชากรจีนได้พ้นจุดสูงสุดไปแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา (2565) ด้วยจำนวนประชากรที่ 1,426 ล้านคน

5.    การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่ช้า (Slow Aging Society) โดยอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรอายุน้อยที่สุดในโลก โดยกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรอินเดียมีอายุน้อยกว่า 30 ปี และมีค่าเฉลี่ย (Median) อายุประชากรโดยรวมเพียง 28.2 ปีเท่านั้น เทียบกับประเทศจีนที่อยู่ที่ 38.4 ปี

  • จากข้อมูลสิ้นสุด ณ วันที่ 7 ก.ค. 66 โดย Morningstar Thailand กองทุน KWI INIDA-A และ KWI INDIA-D ให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปี (YTD) ที่ +8.05% และ +7.94% ตามลำดับ (อันดับที่ 1 +10.15%) อยู่ใน 1st Quartile ของกลุ่มหุ้นอินเดีย (India Equity) โดยกองทุน KWI INDIA-A เป็น 1 ใน 2 กองทุนในกลุ่ม India Equity ที่ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาว โดย Morningstar Thailand
Back
* Investment involves risks. Investors should carefully study the product features, terms and conditions, performance and risk factors before making investment decisions. Past performance is not indicative of future performance. For investment in the funds with offshore investment exposure and without full hedging of currency risk, investors may experience currency losses or profits, or get back less than their initial investment.

Invest Now

Please enter your information and we will call you back as soon as posible.